พระแม่กาลี หรือ กาลิกา (काली) แปลว่า สตรีดำ หลายคนกลัวพระแม่กาลีในรูปอวตารที่รูปร่างน่ากลัวที่เห็นกันตามเทวาลัยทั้งในเมืองไทยและที่อินเดีย ในปากมีเลือด แลบลิ้นออกมายาว ห้อยมาลัยหัวกะโหลก มีหลายมือ บางมือหิ้วหัวที่ถูกตัดออกขาด และมีอาวุธในมือหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่แฝงซ่อนเอาไว้คือ มือบางมือที่อยู่ด้านล่างนั้นทำมือในท่าทางวราทามุทราและอภัยมุทราที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาให้คนที่เห็นเข้าใจว่าจงอย่ากลัวฉันเลยจงเข้ามาหาฉัน เพราะพระนางนั้นเป็นภัยกับคนชั่วและมารร้ายเท่านั้น แต่สำหรับคนดีแล้วพระแม่กาลีไม่ทำอันตรายและยังคอยดูแลรักษาคุ้มครองอีกด้วย
ถ้าอ่านสิ่งที่ผมเขียนไปจนจบแล้วจะรู้ว่า เลือดในปากของพระแม่กาลีและลิ้นที่แลบออกมายาวนั้น มีทั้งเรื่องไม่น่ากลัวและน่ารักในแง่มุมที่เข้าใจได้ของความรักที่พระแม่กาลีมีต่อพระศิวะอีกด้วย และผมเชื่อว่าถ้าอ่านจบ ความกลัวพระแม่กาลีจะหมดไปและมองพระแม่กาลีในมุมมองที่ต่างออกไปจากเดิม และผมเชื่อว่าจากความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จะกลายเป็นความเข้าใจในความเคารพต่อพระแม่กาลีของคนฮินดูแทน
พระแม่กาลีนั้นคืออวตารปางหนึ่งของพระแม่อุมาเทวีที่คนไทยรู้จัก แต่ก่อนจะเล่าถึงพระแม่กาลีนั้นผมอยากเล่าปูพื้นถึงพระแม่อุมาหรือพระนางปารวตี ที่เป็นชายาของพระศิวะเสียก่อน
พระแม่อุมา (उमा) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ พระนางปารวตี (पार्वती) ที่เป็นหนึ่งใน ‘ตรีเทวี’ ที่ยิ่งใหญ่ของฮินดู พระปารวตี เทวีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ความรัก การอุทิศตน ตลอดจนพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์ พระลักษมี เทวีแห่งความมั่งคั่งรุ่งเรือง และพระสรัสวดี เทวีแห่งความรู้ ประกอบกันเป็นองค์สามของ ตรีเทวี (trinity) ของเทวีฮินดู
เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึง สามเทพีแห่งเทพปกรณัมกรีกคือ เทพี อะธีนา เทพีเฮรา และ เทพีแอโฟรไดท์ ที่คล้ายกันมากกับตรีเทวีของฮินดู คือเทพีแห่งปัญญาหยั่งรู้ เทพีแห่งอำนาจและความรุ่งเรือง และเทพีแห่งความรัก ผมเคยพูดเล่น ๆ ว่า สมมุติว่าผู้ชายให้เลือกผู้หญิงสามคน หญิงฉลาด หญิงเก่งและรวย หญิงสวยและเซ็กซี่ ในช่วงวัยหนุ่มผู้ชายทั้งโลกเลือกจะคนสุดท้าย คือเลือกนมโตมากกว่าสมองและความสามารถ แต่พอผู้ชายอายุมากขึ้นจะเลือกคนที่สองคือผู้หญิงเก่งและมีความสามารถ แต่เมื่ออายุมากขึ้นไปอีกจะเลือกคนแรกคือผู้หญิงฉลาดที่จะอยู่กับเขาไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต นั่นคือเบสิกของผู้ชายแต่ละวัย
จากอินเดียไปกรีกได้ไง ผมกลับมาเรื่องพระนางปารวตีต่อดีกว่า ชื่อพระนางนั้นมาจากคำว่า ปารวัต (पर्वत) แปลว่าภูเขา หรือนางแห่งขุนเขา ตามตำนานของฮินดูกล่าวว่าพระนางเป็นพี่น้องกับพระแม่คงคาและพระแม่ธรณี ในเมืองไทยนั้นจะรู้จักพระนางปารวตีในนามของพระแม่อุมาเทวีมากกว่า และพระแม่กาลีนั้นคือหนึ่งปางอวตารของพระแม่อุมาเทวีนั่นเอง และเรื่องมีหลายตำนานของ ลัทธิไศวะนิกาย ซึ่งถือพระศิวะเป็นใหญ่ได้เล่าถึงพระแม่กาลีเอาไว้ดังนี้
ผมอยากจะตัดเรื่องที่ยาวมากของตำนานเทพปกรณัมของฮินดู มายังช่วงกำเนิดพระแม่กาลีที่มีสงครามอสูรยกทัพมารบกับเหล่าเทวดาเพื่อที่จะครองทั้งสามโลกนั้น เหล่าเทวดานั้นกลัว มาธูอสูร (ทารุณอสูรในบางตำนาน) ที่ได้รับพรให้ฆ่าไม่ตายจากพระศิวะเอง ทำให้ไม่มีใครกล้าออกรบ ทำให้พระแม่อุมาเทวีจึงอาสาออกรบเอง ในสนามรบนั้นพระแม่อุมาเทวีได้อวตารเป็นปางพระแม่อัมพิกาที่มีสิริโฉมงดงามออกรบจนเหล่าอสูรอยากได้พระนางมาเป็นชายา ทำให้พระแม่อัมพิกาโกรธจัดจนอวตารอีกครั้งเป็นพระแม่กาลีที่รูปร่างน่ากลัวแล้วฆ่าอสูรตายหมดจนเหลือแต่ มาธูอสูร ที่ฆ่าไม่ตาย เมื่อเลือดตกสู่พื้นดินก็เกิดร่างใหม่มาอีกจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้พระแม่กาลีต้องใช้วิธีฆ่าแล้วตัดหัวดื่มเลือดจนหมดเพื่อไม่ให้เลือดตกถึงพื้นดินแล้วมาธูอสูรเกิดใหม่ได้ แล้วเอาหัวที่ตัดได้จากร่างที่เกิดใหม่มาร้อยแขวนคอเอาไว้ แล้วฆ่าดื่มเลือดจนถึงร่างสุดท้ายของมาธูอสูร แล้วหิ้วหัวมาธูอสูรตนสุดท้ายออกเต้นรำดีใจในชัยชนะ
เหล่าเทวดาเห็นว่าพระแม่กาลีนั้นมีฤทธิ์มากแบบไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าเต้นรำกระทืบเท้ามาบนแผ่นดินโลกจะเกิดวิบัติแก่โลกได้ จึงไปขอให้พระศิวะช่วยหยุดพระแม่กาลีจากการเมาเลือดอสูรแล้วเต้นรำจนสะเทือนไปหมดทั้งสามโลก พระศิวะนั้นก็เห็นว่าพระแม่กาลีนั้นเป็นอวตารของพระแม่อุมาเทวีที่รักและเคารพในพระองค์อย่างสูงยิ่ง แม้จะอยู่ในสภาพเมาเลือดอสูรแต่น่าจะยังจำพระศิวะได้ จึงใช้วิธีนอนลงกับพื้นเพื่อป้องกันไม่ให้พระแม่กาลีเหยียบโลกจนเกิดวิบัติ เมื่อพระแม่กาลีเหยียบลงบนอกของพระศิวะที่นอนอยู่ จึงรู้สึกตัวว่าได้ทำในสิ่งที่เกินไปแล้ว จึงหายเมาในเลือดของอสูรหยุดการเต้นรำ แล้วเกิดความเขินอายที่ไปเหยียบบนอกพระศิวะผู้เป็นพระสวามีที่รักและเคารพยิ่ง จึงแลบลิ้นออกมาด้วยความเขินอาย แล้วอวตารกลับเป็นพระแม่อุมาดังเดิม
อ่านถึงตรงนี้เข้าในแล้วใช่ไหมครับว่าที่ผมบอกว่าถ้าอ่านจบความกลัวพระแม่กาลีจะหมดไป และมองพระแม่กาลีในมุมมองที่ต่างออกไปจากเดิม เพราะเลือดในปากของพระแม่กาลีนั้นคือเลือดของอสูรที่เป็นสิ่งชั่วร้าย ไม่ใช่เลือดของมนุษย์และคนดี และลิ้นที่แลบออกมาอย่างน่ากลัวนั้นคือลิ้นที่แลบออกมาด้วยความเขินอายที่ไปเหยียบอกของพระศิวะเข้าไปแบบไม่ตั้งใจ ภาพพจน์ของพระแม่กาลีดีขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ความจริงแล้วว่าพระแม่กาลีไม่ได้น่ากลัวดูชั่วร้ายเหมือนสมัยที่ยังไม่รู้เรื่องราวของพระแม่กาลี
ในบรรดาอวตารของพระแม่อุมาเทวีหรือพระนางปารวตี นั้นพระแม่กาลีนั้นเป็นอวตารที่เข้าใจยากที่สุดระหว่าง พลังอำนาจ ความรัก และความเมตตา เพราะอำนาจของพระแม่กาลีนั้นมีมากจนพระศิวะต้องใช้วิธีหยุดพระแม่กาลีด้วยวิธีนอนให้พระแม่กาลีเหยียบอกถึงจะหยุดได้ รูปลักษณ์ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในบรรดาอวตารของเหล่าเทพอวรตารทั้งปวงของฮินดู คนที่เห็นรูปพระแม่กาลีครั้งแรกในเทวาลัยจะกลัวจนไม่อยากจะยุ่งด้วย แต่ถ้ารู้ว่าพระแม่กาลีนั้นทำลายแต่ อสูร ปีศาจร้าย และคนชั่ว แต่ปกป้องคนดีตามปกติของเทพทั่วไป ในความเชื่อของชาวฮินดูนั้นการบูชาพระแม่กาลีจะสร้างกำลังใจให้ต่อสู้กับสิ่งชั่วร้าย ทำลายอำนาจมืดและคุณไสย ทำให้คนที่มีจิตใจอ่อนแอและท้อแท้กับชีวิตจะมีความเข้มแข็งขึ้นสามารถต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคของชีวิตต่อไปได้
ในความเชื่อของชาวฮินดูนั้นสามารถขอความเมตตาจากพระแม่กาลีได้ เพราะมือด้านล่างของพระแม่กาลีนั้นทำท่าทางวราทามุทราและอภัยมุทราที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาให้แก่คนดี แต่ในบางตำนานนั้นพระแม่กาลีทำมือให้ขันธกุมารโอรสของพระแม่กาลีรู้ว่านี่คือแม่ของพระองค์ในครั้งที่บำเพ็ญตะบะเพื่ออวตารไปปราบมาร แต่ตอนนั้นพระศิวะไม่รู้ว่าอะไร พอเห็นพระแม่กาลีในรูปร่างที่น่ากลัวในครั้งแรกก็วิ่งหนีไปเรียบร้อยแล้วโดยที่ไม่รู้ว่านี่คืออวตารไปปราบเหล่าอสูรของพระแม่อุมาเทวีหรือพระนางปารวตี ชายาอันเป็นที่รักของพระองค์นั่นเอง