เทพแห่งวิศวกรรม คือ "พระวิศวกรรม" ที่คนไทยเรานิยมเรียกสั้น ๆ ว่า"พระวิศวกรรม" หรือเรียกตามความคุ้นเคย (ซึ่งพ้องกับชื่อของพระวิษณุ) ว่า "พระวิษณุกรรม" หรืออีกหลายชื่อเช่น “ พระพิษณุกรรม” “พระเวสุกรรม” “พระวิศวกรรมา” “ พระวิศวกรมัน” "พระเพชฉลูกรรม" "ท้าววิสสุกรรม" "ท้าวเวสสุกรรม" หรือ “ตวัสฤ”
ชื่อที่ถูกต้องตามภาษาสันสกฤตคือ Vishwakarman หรือ Vishnukarman หรือ Bishnukarm ส่วนคำว่า เพชรฉหลูกรรมนั้น มาจากบทสวดที่ใช้ในพิธีพราหมณ์ เช่นในพระคาถาประจุน้ำมนต์ธรณีสาร ที่มีคำว่า “....... เพชรฉหลูกันเจวะ สัพพะกัมมะ ประสทธิเม .... “ ดังนั้น กลุ่มผู้บูชาที่เน้นพิธีกรรม เช่น เน้นทางพิธีพราหมณ์ต่าง ๆ หรือการไหว้ครูในทางดุริยศิลป์จึงมักเรียกท่านว่า พระเพชรฉลูกรรม หรืออาจเรียกท่านว่า พระฤาษีเพชรฉลูกรรม ส่วนตวัสฤนั้น คาดว่าคงจะมาจาก Tvasti ซึ่งมาจากภาษาสันสฤต และมักจะมีความหมายถึงพระวิษณุกรรมเช่นกัน บทสวดที่มาจากภาษาฮินดูโบราณที่เสียงคล้ายกับบทสวดในคัมภีร์ฤคเวท บทสวดที่เป็นภาษาฮินดูโบราณนี้มักใช้มากในประเทศเขมร เพราะราวช่วงที่เขมรรุ่งเรืองในยุคของนครวัด หรือประมาณ คริสตศักราช ๑๑๐๗ –๑๑๗๗ (ประมาณ พศ ๑๖๐๐) นั้น มีการบูชาพระวิษณุกรรมอย่างกว้างขวางเพราะเขมรสมัยนั้นได้รับอิทธิพลจาก ฮินดูค่อนข้างมากทำให้การบูชาพระวิษณุกรรมในไทยได้รับอิทธิพลมาจากเขมรบ้างในบางพิธี ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ยังมีบางสถาบันที่ยังใช้บทสวดที่เป็นภาษานี้อยู่ เช่น บทสวดที่ขึ้นว่า “....โอม สะศาง ขะจักรัม สะกิริฎะกุณตะลัม สิปตะวัสตรัม....”
การที่คนไทยเราเรียกพระวิศวกรรมา ว่า "พระวิษณุกรรม" และในที่สุดก็กร่อนลงเหลือเพียง'พระวิษณุ' ซึ่งเป็นชื่อของเทพที่คนไทยเรารู้จักมักคุ้นกันมากกว่า ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นนี่เอง ทำให้หลายคนเข้าใจว่าพระวิษณุเป็นเทพแห่งวิศวฯ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน สำหรับเทพแห่งวิศวฯ ตัวจริง คือ พระวิศวกรรมา หรือพระวิษณุกรรม นั้น ท่านเป็นทั้งสถาปนิกและวิศวกรที่มีความชำนาญงานช่างทุกแขนง
ในตำนานพุทธศาสนาเล่าว่า ท่านเป็นผู้สร้างอาศรมให้แก่พระโพธิสัตว์หลายพระองค์ (ก่อนที่จะอุบัติเป็นพระพุทธเจ้า) เป็นผู้สร้างบันไดเงิน บันไดทอง บันไดแก้ว ทอดจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ลงมายังโลกมนุษย์ที่เมืองสังกัสสนคร ซึ่งเป็นเส้นทางที่พระพุทธเจ้าใช้เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (หลังจากเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ในช่วงเข้าพรรษา) นอกจากจะเป็นสถาปนิกและเป็นวิศวกรด้านโยธาและสำรวจ ดังจะเห็นได้จากผลงาน ๒ ประการที่ว่านี้แล้ว พระวิศวกรรมายังเป็นวิศวกรเครื่องกลอีกด้วย กล่าวคือ ท่านเป็นผู้สร้างวาฬสังฆาตยนต์ ซึ่งเป็นกงล้อหมุนรอบองค์พระสถูป ปกปักรักษาป้องกันมิให้บุคคลเข้าใกล้พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งที่พระเจ้าอชาตศัตรูได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุหลังพุทธปรินิพพานและอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ในองค์พระสถูปที่ว่านี้[๑]
ส่วนตามตำนานฮินดู พระวิศวกรรมาก็มีผลงานเด่นๆ สรรค์สร้างไว้มากมาย เช่น ครั้งหนึ่ง ธิดานางหนึ่งของท่าน ชื่อว่านางสัญชญา เป็นชายาของพระอาทิตย์ บ่นให้พระวิศวกรรมาผู้เป็นพ่อฟังว่า พระอาทิตย์สามีของตนนั้นช่าง "ร้อนแรง" เหลือเกิน เข้าใกล้ไม่ค่อยได้ พระวิศวกรรมาสงสารลูกสาว จึงช่วยเหลือ โดยไปขูดผิวพระอาทิตย์ออกเสียบางส่วน ทำให้ความร้อนแรงนั้นทุเลาลงไปบ้าง และผิวพระอาทิตย์อันมีรัศมีเจิดจ้าที่ขูดออกมาได้นั้น พระวิศวกรรมาได้นำไปรังสรรค์-ปั้น-แต่ง แล้วถวายให้เป็นอาวุธทรงอานุภาพและมีประกายแวววาวแก่เทพองค์สำคัญของสวรรค์ชั้นฟ้า ได้แก่ อาวุธ "ตรีศูล" (สามง่าม) ของพระอิศวร "จักราวุธ" (กงจักร) ของพระนารายณ์ "วชิราวุธ" (สายฟ้า)[๒] ของพระอินทร์ "คทาวุธ" (กระบอง) ของท้าวกุเวร และ "โตมราวุธ" (หอก) ของพระขันทกุมาร เป็นต้น[๓]
ผลงานอื่นๆ ของท่านที่สำคัญ ๆ ได้แก่ เป็นผู้สร้างกรุงลงกาให้แก่ทศกัณฐ์ในเรื่องมหากาพย์รามายณะ สร้างกรุงทวารกาให้แก่พระกฤษณะ (ซึ่งเป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์) ในเรื่องมหากาพย์มหาภารตะ สร้างวิมานให้แก่พระวรุณ(เทพแห่งน้ำ)และพระยม(เทพแห่งความตาย) สร้างราชรถบุษบกเป็นพาหนะให้แก่ท้าวกุเวร[๔] เป็นผู้ปั้นนางติโลตตมา นางฟ้าที่สวยที่สุดนางหนึ่งบนสวรรค์[๕] (สวยจนทำให้พระอินทร์ผู้ปรารถนาเห็นนางติโลตตมาอย่างจุใจ กลายเป็น "ท้าวสหัสนัยน์" มีดวงตา ๑,๐๐๐ ดวง และทำให้พระพรหมผู้ปรารถนาเห็นนางติโลตตมาจากทุกด้าน กลายเป็น "ท้าวจตุรพักตร์" มี ๔ หน้า) ฯลฯ
ผลงานเด่นอันสุดท้ายที่ใคร่อยากนำเสนอในที่นี้ ก็คือ "กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร ฯ มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์" หมายถึง กรุงเทพมหานคร เมืองแห่งเทวดานั้น พระวิษณุกรรมเป็นผู้สร้าง ตามพระบัญชาของพระอินทร์
จากผลงานสรรค์สร้างที่ปรากฏมากมายนี้เอง เทพองค์นี้จึงได้ชื่อว่า "วิศวกรรมา" ซึ่งมีความหมายตามรูปศัพท์ว่า "ผู้ทำทุกสิ่งทุกอย่าง" (the "Universal Doer") คือเป็น "นายช่างแห่งจักรวาล" นั่นเอง
ตำนานฮินดูกล่าวว่า พระวิศวกรรมา มีพระเนตร ๓ ดวง มีกายสีขาว ทรงอาภรณ์สีเขียว โพกผ้า มือถือคทา แต่ไทยนิยมวาดหรือปั้นรูปพระวิศวกรรมา ทรงชฎา มือถือจอบหรือผึ่ง (เครื่องมือสําหรับถากไม้ชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายจอบ แต่มีด้ามสั้นกว่า) และลูกดิ่ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางช่างอย่างชัดเจน
พวกช่างชาวฮินดูจะประกอบพิธีบูชาบวงสรวงพระวิศวกรรมา เพื่อขอพรให้ตนเองประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานกัน ในวันที่พระอาทิตย์ย้ายเข้าสู่ฤกษ์ภัทรบท ในวันนี้พวกช่างจะงดใช้อุปกรณ์และเครื่องมือทางช่างทุกชนิด พวกเขามีความเชื่อว่าพระวิศวกรรมาจะเข้ามาสถิตในใจ และดลบันดาลให้พวกตนมีความคิดความอ่านที่จะสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ที่ดี มีคุณภาพอยู่เสมอ
พระวิษณุกรรม ขนาดกลาง
งานกระดาษ ทองเค ประดับเลื่อม พร้อมฐานไม้สีดำ
ขนาดกว้าง 4 นิ้ว สูงรวมฐาน 10 นิ้ว